
คนไทยบริโภคอาหารเส้นรองจากข้าว ซึ่งเจือปน "กรดเบนโซอิก" หรือสารกันบูด หากได้รับปริมาณที่สูง อาจส่งผลทำให้เกิดอาการ คลื่นไส้และท้องเสีย ผู้บริโภคไม่ควรกินอาหารเดิมซ้ำๆ โดยเฉพาะในฤดูร้อน ควรกินอาหารที่ปรุงใหม่ๆ...
เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 59 นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า คนไทยนิยมบริโภคอาหารประเภทเส้นรองจากข้าว ซึ่งอาหารเส้นที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ ขนมจีนและก๋วยเตี๋ยว แต่เนื่องจากประเทศไทยมีอากาศค่อนข้างร้อน ทำให้อาหารมีโอกาสเน่าเสียได้ง่าย เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการบางรายที่ผลิตเส้นขนมจีน และเส้นก๋วยเตี๋ยวใช้วัตถุกันเสียหรือที่เรียกว่าสารกันบูดในการผลิต โดยวัตถุกันเสียที่นิยมใช้กัน คือ กรดเบนโซอิก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้ในอาหารไม่เกิน 1000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และคณะผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุเจือปนอาหารของโคเด็กซ์ (JECFA) ได้กำหนดเกณฑ์ความปลอดภัย (ADI) ของกรดเบนโซอิกไว้เท่ากับ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน กรดเบนโซอิก นิยมใช้เป็นวัตถุกันเสียในอุตสาหกรรมอาหารหลายชนิด ทั้งเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ อาหารหมักดอง รวมถึงใช้สำหรับรักษาคุณภาพของเครื่องสำอาง และยาสีฟัน
ทั้งนี้ หากร่างกายได้รับกรดเบนโซอิกในปริมาณที่สูง อาจทำให้เกิดอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสียได้ หากได้รับในปริมาณน้อยร่างกายจะสามารถขับออกให้หมดไปได้ แต่หากได้รับในปริมาณมากและหรือได้รับทุกวัน อาจเกิดการสะสมจนถึงระดับที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายได้โดยเฉพาะผู้ที่มี อาการแพ้
“ผู้บริโภคไม่ควรบริโภคอาหารชนิดเดียวซ้ำๆ และบริโภคในปริมาณที่มาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนนี้ ผู้บริโภคควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่ควรซื้ออาหารมาค้างไว้นานๆ หากมีความจำเป็นต้องเก็บอาหารนั้น ควรเก็บไว้ในตู้เย็นและนำมาอุ่นก่อนรับประทาน” นพ.อภิชัย กล่าว
อย่าง ไรก็ตาม ช่วงปี 2555-2557 ได้ตรวจวิเคราะห์อาหารประเภทเส้นจำนวน 192 ตัวอย่าง พบว่า มีการใช้กรดเบนโซอิกจำนวน 136 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 70.8 โดยมีการใช้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจำนวน 33 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 17.2 โดยก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่มีการใช้กรดเบนโซอิกทุกตัวอย่าง ปริมาณที่พบอยู่ในช่วง 94.3 - 2,633 ในขณะที่เส้นขนมจีนพบการใช้กรดเบนโซอิกร้อยละ 87.5 ปริมาณที่ใช้อยู่ในช่วง 166 - 1,272 ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก พบการใช้กรดเบนโซอิกร้อยละ 82.4 ปริมาณที่ใช้อยู่ในช่วง 20 - 3,474 โดยได้เผยแพร่ผลการประเมินเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการบริโภค
แหล่งที่มา www.thairath.co.th/content/590692